วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

No room for

No room for  ::  คำว่า Room นอกจากจะแปลว่าห้องแล้ว ยังสามารถแปลได้ว่าที่ว่าง หรือที่ทางได้อีกด้วย เช่น ขึ้นลิฟต์มาค่อนข้างแน่น ลิฟต์เปิดออก เจอสาวสวยหนึ่งคนยืนสะโอดสะองพอยต์เท้าอยู่ กระโปรงสั้นประมาณปกคลุมกระดูกเชิงกรานไม่ค่อยมิด ทันใดน้ันหนุ่งๆ ก็พากัน Make room (ไม่ได้แปลว่าทำห้องแบบแม่บ้านตามโรงแรมนะครับ แต่ตรงนี้แปลว่าขยับเขยิบให้มีที่เหลือต่างหาก) แล้วเอ่ยปากเชิญชวนว่า "Come on, there's room for one more." เข้ามาซีครับ ยังพอมี่ที่เหลือสำหรับคนนึงพอดีเลยฯลฯ

ที่นี้มาถึง No room มั่ง ซึ่งถ้าคุณกำลังยืนอยู่หน้าฟรอนต์โรงแรมสักแห่งมันก็คงหมายถึง 'ห้องเต็ม' นั่นแหละครับ แต่ถ้าจะใช้ในความหมายที่กิ๊บเก๋กว่านั้นเวลาคุณพูดว่า There's no room for  อะไรสักอย่าง ก็จะแปลว่าไอ้อย่างนั้นน่ะเป็นสิ่งที่คุณยอมรับไม่ได้ และต้องจะถูกตะเพิดออกไป เช่น ในสภาพเศรฐกิจแย่ๆ และในแวดวงที่การแข่งขันสูงขนาดนี้ "There is no room for lazy staff!!" แปลตรงๆ ก็คือ บริษัทเราไม่มีที่สำหรับพนักงานขี้เกียจๆ หรอกนะ!

Point of no return

Point of no return :: อันนี้ดูเท่ออกแนวนักผจญภัยยังไงไม่ทราบนะครับ สำนวน  Point of no return ที่จริงก็ไม่มีอะไรยากเลย เพราะแปลตรงตามตัวว่า จุดที่จะไม่มีการหันหลังกลับ นั่นคืออะไรก็ตามที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณจะต้องเดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลังแล้ว ไม่มีการถอดใจ และไม่มีการถอนตัวทั้งสิ้น
ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ แต่เราก็ลงทุนลงแรงเริ่มต้นเปิดสปาขนาดยักษ์ สามร้อยห้องนวดไปแล้ว คือถ้าเพิ่งเริ่มต้นไม่เท่าไหร่ยังพอจะถอยพับเก็บโครงการเอาไว้ก่อนได้นะ แต่ตอนนี้เรามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว หันหลังกลับไม่ได้แล้วล่ะ งั้นพวกเราก็สู้กันเถอะ ถ้าไม่เปิดตอนนี้จะให้พนักงานนวดมันนวดกันเองเรอะ หรือเราจะปรับเป็นนวดเดลิเวอรี่ ไปเดินให้บริการพวกม็อบดี พันธมิตรนั่งประท้วงนานๆ ก็ต้องมีเมื่อยมั่งหล่ะ

สำนวนนี้มีที่มาจากการบินครับ  Point of no return ของเครื่องบินคือจุดที่เมื่อบินเลยไปแล้วจะต้องมีแต่ไปข้างหน้าเท่านั้น เพราะเครื่องบินจะไม่มีเชื้อเพลงเหลือพอที่จะบินวนกลับมาที่จุดเริ่มต้อนได้แล้วนั่นเอง

Up to no good

Up to no good :: สำนวน  Up to something  แปลว่า  Doing something  นั่นเอง เช่น เวลาเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน เขาอาจถามคุณว่า  "What are you up to these days?"  เฮ้ เดี๋ยวนี้ทำอะไรอยู่ว่ะ?  หรือเมื่อแฟนเข้ามาเอาอกเอาใจผิดปกติ คุณก็ถามว่า "Something's wrong. What are you up to? What do you want?" วันนี้มาแปลกแฮะ มีแผนอะไรเนี่ย จะเอาอะไรล่ะคราวนี้?

หรือเมื่อเจอคนน่าสงสัยมาด้อมๆ มองๆ คุณก็พูดว่า ไอ้หมอนั่นดูน่าสงสัยนะ มาด้อมๆ มองๆ อยู่หลายวันละ  "I'm sure he's up to something."  มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เลย


แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องร้ายไปหมดเสมอไปนะครับ บางครั้งอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ แต่มันยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเท่านั้นเอง เช่น เมื่ออยู่ดีๆ น้องชายตัวแสบก็หยุดเที่ยวเตร่ กลับอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แล้วเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องทั้งวัน คุณแม่ก็พูดกับคุณพ่อว่า "I think he's up to something." มันซุ้มทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ฉันสังหรณ์ว่าเรากำลังจะโดนขอตังค์ยังไงไม่รู้ค่ะคุณ

ส่วน  Up to no good  นี่ชัดมากครับว่ามันต้องมีอะไรเสื่อมๆ เกิดขึ้นแน่นอน เช่น เพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เลียแข้งขาเจ้านายบ่อยกว่าปกติ ทำตัว ลับๆ ล่อๆ แถมมาทำพูดจาดีกับเรา สัญชาตญาณเริ่มบอกว่า  "He's up to no good." มันต้องมีแผนชั่วอะไรซักอย่างนึ่งแน่ๆ ฟังธง

Long time no see.


Long time no see  ::  สำนวนนี้ผมโปรดปรานมากครับ เพราะฟังดูเหมือนภาษาอังกฤษผุๆ พังๆ งูๆ ปลาๆ แต่ปรากฏว่าเขาใช้พูดกันทั้งอเมริกาและอังกฤษ เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าที่จริงผรั่งเขาไม่ได้คลั่งแกรมม่าชนิดที่ต้องมานั่งแต่งประโยคที่ต้องมีครบทั้ง ประธาน กริยา กรรม Subject+Verb+Object ตลอดเวลาเหมือนที่เด็กไทยท่องกันจนสมองบวม ดังนั้น เมื่ออยากจะทักใครว่า  "แหม ไม่ได้เจอตั้งนานนมโตขึ้นตั้งเยอะ"  ก็ไม่ต้องแต่งประโยคยาวเหยียดว่า  "It has been a long time since I last saw you. Your breasts got a lot bigger." (ประโยคหลังอย่าทะเล้นพูดออกไปจริงๆ ล่ะครับ โดนตบโหนกแก้มหักผมไม่รับผิดชอบนะ) แต่เขาพูดกันสั้นๆ ว่า  "Long time no see."

เอาไว้ทักทายเพื่อนเก่า ตลอดจนคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย อาโซ้ยกู๋ หรืออาเหล่ากงต่างๆ ที่คุณอาจได้โผล่ไปเจอะเจอหน้าค่าตาเพียงปีละครั้งในวันสงกรานต์ (หรือตรุษจีน) นะครับ

Yes and no

Yes and no  ::  อันนี้ฟังแล้วเหมือนสับสนทางเพศยังไงไม่ทราบนะครับ ตกลงจะเอายังไง ทั้งใช่ ทั้งไม่ใช่ ทั้งถูกทั้งผิด แต่โดยความเป็นจริงแล้วคนเราก็เป็นแบบนี้กันได้ออกจะบ่อย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย  'เยสแอนด์โน'  นี่ก็เลยเอาไว้ให้ได้ใช้เมื่อเราเองก็ยังไม่แน่ใจกับสิ่งที่คนเขาถามมาเหมือนกัน หรือ คำตอบของเรามีสองด้านๆ จริงๆ

คุณเพิ่งมีแฟนใหม่
เพื่อน: เป็นไง รักครั้งใหม่ของแก สดชื่นสิท่า ทุกอย่างเป็นไปได้สวยไหม?
คุณเอียงคอคิดอยู่ 10 วินาที
เรา: Well, yes and no...  จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีมันก็ไม่ดีอ่ะ เธอน่ารักมาก นิสัยดี จิตใจดี แต่โคตรกุ๊กกิ๊กเลยว่ะ คิขุทุกลมหายใจ ตอนจีบใหม่ๆ ไม่เป็นนะแต่มาตอนนี้ทำไมงุงิง้องแง้งก็ไม่รู้ กูยิ่งทนอะไรแอ๊บแบ๊วๆ ยังงี้ไม่ค่อยจะได้ด้วย มันจะไปกันรอดไหมวะเนี่ย

คุณเพิ่งสัมภาษณ์งานมา
เพื่อน: เป็นไงมั่ง งานน่าสนใจไหม?
เรา: อืมมม Yes and no... ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ตัวงานน่ะน่าสนใจ แต่ไอ้คนสัมภาษณ์กูเนี่ย
เพื่อน: เขาไม่ชอบหน้ามึงสิ กูบอกแล้วให้ยิ้มเยอะๆ เวลามึงหน้าบึ้งนะกวนตีน
เรา: ไม่ใช่ มันน่ะชอบกูมาก ถูกชะตาเหลือเกิน แต่กูว่ามันไม่ค่อยเต็มว่ะ พูดจารั่วๆ ชอบกล ท่าทางจะเป็นหัวหน้าสายงานกูซะด้วย ทำไงดีวะ งานน่ะกูอยากได้ แล้วกูก็ว่ากูได้แน่เลย แต่จะให้ทำงานกับไอ้เนี่ยอะนะ!?





Two wrongs don't make a right

Two wrongs don't make right  ::  สำนวนนี้ผมว่าเหมาะกับโลกมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจริงๆ เพราะผมว่าในขณะที่คนเราเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญาและจิตใจอันสูงส่ง ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนอีกแล้วที่จะมีนิสัยด้านมืดที่น่ากลัวเท่ามนุษย์เหมือนกัน

           เพราะก็คงมีแต่มนุษย์เท่านั้นล่ะที่สามารถจะคิดได้ว่า "ใครดีมา เราดีตอบ และใครเลวมา เราเลวตอบ" หรือคำกว่าวที่ราวกับจะเท่ อย่าง "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ"
          ไอ้ตรงที่  "ใครดีมาเราดีตอบ"  กับ  "บุญคุณต้องทดแทน"  นี่ผมว่าดีนะ จะทำให้สังคมน่าอยู่ แต่อีท่อนหลังเนี่ย จะนำพามาแต่หายนะจริงๆ นะครับ

          การที่เราโดนเขาชกแล้วไม่ชกกลับ เขาด่าเรามาเราไม่ด่ากลับ มันอาจดูเหมือนอ่อนแอและไม่เท่เอาซะเลย แต่มันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงเหรอครับ ถ้าเราสอนลูกสอนหลานเราว่า  "ใครเลวกับเรา เราต้องเลวกับมัน"  ใครโกงเรา เราต้องโกงมันกลับ ใครแกล้งเรา เราต้องแกล้งมันกลับ มันเคยแย่งแฟนเรา เราต้องแย่งแฟนมันมั่ง  จะดีเหรอครับ?


          ผมว่าไม่นะ เพราะ Two wrongs don't make a right. อะไรๆ จะมีแต่แย่ไปกันใหญ่





Put two and two together and make five

Put two and two together and make five  ::  ใครๆ ก็รู้ว่า 2+2 มันต้องเป็น 4 ผมก็เลยชอบสำนวนนี้เป็นการส่วนตัว เพราะได้ยินแล้วรู้สึกอุ่นใจว่าเราไม่ได้โง่เลขอยู่คนเดียวในโลก แต่จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะใช้ได้เฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น เพราะการเอาสองบวกสองแล้วได้ห้านั้นเขาเอาไว้เปรียบเทียบกับคนที่มีพฤติกรรม 'ฟังไม่ศัพท์จับไปกระเดียด' บวก 'กระต่ายตื่นตูม'

เพื่อนสาวคนหนึ่งปกติแต่งรัดรูปและเอวลอยตลอด แต่วันนี้เธอมาในชุดแซ็ก แปลกตาและนั่น! ยืนซื้อมะม่วงดองอยู่ที่รถขายผลไม้ ปกติชีชอบกินมันแกวนี่หว่า ชีท้องแน่ๆ

เฮ้ย คนเรานานๆ ทีก็อยากเปลี่ยนรสชาติกันมั่ง แล้วพอดีเย็นเมื่อวานใส่เอวลอยไปแอโรบิกในสวนสาธารณะ เต้นหนักไปหน่อยเลยเหนื่อยจัด ฟุบหลับน้ำลายยืดอยู่บนม้านั่งกลางสนาม โดนยุงกัดพุงเป็นผื่นเป็นปื้น แล้วไปเกาจนเป็นแผล วันนี้เลยโชว์ดือไม่ได้ต่างหาก

ปรากฏอีเพื่อนมันเอาชุดแซ็ก + มะม่วงดอง ราวกับสอง + สอง แต่ผลลัพธ์ออกมาเป็นห้า เข้าใจผิดกันไปทั้งกรุงเทพและปริมณฑล

"She put two and two together and make five, then tel everyone I'm pregnant!"