วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

No room for

No room for  ::  คำว่า Room นอกจากจะแปลว่าห้องแล้ว ยังสามารถแปลได้ว่าที่ว่าง หรือที่ทางได้อีกด้วย เช่น ขึ้นลิฟต์มาค่อนข้างแน่น ลิฟต์เปิดออก เจอสาวสวยหนึ่งคนยืนสะโอดสะองพอยต์เท้าอยู่ กระโปรงสั้นประมาณปกคลุมกระดูกเชิงกรานไม่ค่อยมิด ทันใดน้ันหนุ่งๆ ก็พากัน Make room (ไม่ได้แปลว่าทำห้องแบบแม่บ้านตามโรงแรมนะครับ แต่ตรงนี้แปลว่าขยับเขยิบให้มีที่เหลือต่างหาก) แล้วเอ่ยปากเชิญชวนว่า "Come on, there's room for one more." เข้ามาซีครับ ยังพอมี่ที่เหลือสำหรับคนนึงพอดีเลยฯลฯ

ที่นี้มาถึง No room มั่ง ซึ่งถ้าคุณกำลังยืนอยู่หน้าฟรอนต์โรงแรมสักแห่งมันก็คงหมายถึง 'ห้องเต็ม' นั่นแหละครับ แต่ถ้าจะใช้ในความหมายที่กิ๊บเก๋กว่านั้นเวลาคุณพูดว่า There's no room for  อะไรสักอย่าง ก็จะแปลว่าไอ้อย่างนั้นน่ะเป็นสิ่งที่คุณยอมรับไม่ได้ และต้องจะถูกตะเพิดออกไป เช่น ในสภาพเศรฐกิจแย่ๆ และในแวดวงที่การแข่งขันสูงขนาดนี้ "There is no room for lazy staff!!" แปลตรงๆ ก็คือ บริษัทเราไม่มีที่สำหรับพนักงานขี้เกียจๆ หรอกนะ!

Point of no return

Point of no return :: อันนี้ดูเท่ออกแนวนักผจญภัยยังไงไม่ทราบนะครับ สำนวน  Point of no return ที่จริงก็ไม่มีอะไรยากเลย เพราะแปลตรงตามตัวว่า จุดที่จะไม่มีการหันหลังกลับ นั่นคืออะไรก็ตามที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณจะต้องเดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลังแล้ว ไม่มีการถอดใจ และไม่มีการถอนตัวทั้งสิ้น
ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ แต่เราก็ลงทุนลงแรงเริ่มต้นเปิดสปาขนาดยักษ์ สามร้อยห้องนวดไปแล้ว คือถ้าเพิ่งเริ่มต้นไม่เท่าไหร่ยังพอจะถอยพับเก็บโครงการเอาไว้ก่อนได้นะ แต่ตอนนี้เรามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว หันหลังกลับไม่ได้แล้วล่ะ งั้นพวกเราก็สู้กันเถอะ ถ้าไม่เปิดตอนนี้จะให้พนักงานนวดมันนวดกันเองเรอะ หรือเราจะปรับเป็นนวดเดลิเวอรี่ ไปเดินให้บริการพวกม็อบดี พันธมิตรนั่งประท้วงนานๆ ก็ต้องมีเมื่อยมั่งหล่ะ

สำนวนนี้มีที่มาจากการบินครับ  Point of no return ของเครื่องบินคือจุดที่เมื่อบินเลยไปแล้วจะต้องมีแต่ไปข้างหน้าเท่านั้น เพราะเครื่องบินจะไม่มีเชื้อเพลงเหลือพอที่จะบินวนกลับมาที่จุดเริ่มต้อนได้แล้วนั่นเอง

Up to no good

Up to no good :: สำนวน  Up to something  แปลว่า  Doing something  นั่นเอง เช่น เวลาเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน เขาอาจถามคุณว่า  "What are you up to these days?"  เฮ้ เดี๋ยวนี้ทำอะไรอยู่ว่ะ?  หรือเมื่อแฟนเข้ามาเอาอกเอาใจผิดปกติ คุณก็ถามว่า "Something's wrong. What are you up to? What do you want?" วันนี้มาแปลกแฮะ มีแผนอะไรเนี่ย จะเอาอะไรล่ะคราวนี้?

หรือเมื่อเจอคนน่าสงสัยมาด้อมๆ มองๆ คุณก็พูดว่า ไอ้หมอนั่นดูน่าสงสัยนะ มาด้อมๆ มองๆ อยู่หลายวันละ  "I'm sure he's up to something."  มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เลย


แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องร้ายไปหมดเสมอไปนะครับ บางครั้งอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ แต่มันยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเท่านั้นเอง เช่น เมื่ออยู่ดีๆ น้องชายตัวแสบก็หยุดเที่ยวเตร่ กลับอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แล้วเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องทั้งวัน คุณแม่ก็พูดกับคุณพ่อว่า "I think he's up to something." มันซุ้มทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ฉันสังหรณ์ว่าเรากำลังจะโดนขอตังค์ยังไงไม่รู้ค่ะคุณ

ส่วน  Up to no good  นี่ชัดมากครับว่ามันต้องมีอะไรเสื่อมๆ เกิดขึ้นแน่นอน เช่น เพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เลียแข้งขาเจ้านายบ่อยกว่าปกติ ทำตัว ลับๆ ล่อๆ แถมมาทำพูดจาดีกับเรา สัญชาตญาณเริ่มบอกว่า  "He's up to no good." มันต้องมีแผนชั่วอะไรซักอย่างนึ่งแน่ๆ ฟังธง

Long time no see.


Long time no see  ::  สำนวนนี้ผมโปรดปรานมากครับ เพราะฟังดูเหมือนภาษาอังกฤษผุๆ พังๆ งูๆ ปลาๆ แต่ปรากฏว่าเขาใช้พูดกันทั้งอเมริกาและอังกฤษ เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าที่จริงผรั่งเขาไม่ได้คลั่งแกรมม่าชนิดที่ต้องมานั่งแต่งประโยคที่ต้องมีครบทั้ง ประธาน กริยา กรรม Subject+Verb+Object ตลอดเวลาเหมือนที่เด็กไทยท่องกันจนสมองบวม ดังนั้น เมื่ออยากจะทักใครว่า  "แหม ไม่ได้เจอตั้งนานนมโตขึ้นตั้งเยอะ"  ก็ไม่ต้องแต่งประโยคยาวเหยียดว่า  "It has been a long time since I last saw you. Your breasts got a lot bigger." (ประโยคหลังอย่าทะเล้นพูดออกไปจริงๆ ล่ะครับ โดนตบโหนกแก้มหักผมไม่รับผิดชอบนะ) แต่เขาพูดกันสั้นๆ ว่า  "Long time no see."

เอาไว้ทักทายเพื่อนเก่า ตลอดจนคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย อาโซ้ยกู๋ หรืออาเหล่ากงต่างๆ ที่คุณอาจได้โผล่ไปเจอะเจอหน้าค่าตาเพียงปีละครั้งในวันสงกรานต์ (หรือตรุษจีน) นะครับ

Yes and no

Yes and no  ::  อันนี้ฟังแล้วเหมือนสับสนทางเพศยังไงไม่ทราบนะครับ ตกลงจะเอายังไง ทั้งใช่ ทั้งไม่ใช่ ทั้งถูกทั้งผิด แต่โดยความเป็นจริงแล้วคนเราก็เป็นแบบนี้กันได้ออกจะบ่อย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย  'เยสแอนด์โน'  นี่ก็เลยเอาไว้ให้ได้ใช้เมื่อเราเองก็ยังไม่แน่ใจกับสิ่งที่คนเขาถามมาเหมือนกัน หรือ คำตอบของเรามีสองด้านๆ จริงๆ

คุณเพิ่งมีแฟนใหม่
เพื่อน: เป็นไง รักครั้งใหม่ของแก สดชื่นสิท่า ทุกอย่างเป็นไปได้สวยไหม?
คุณเอียงคอคิดอยู่ 10 วินาที
เรา: Well, yes and no...  จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีมันก็ไม่ดีอ่ะ เธอน่ารักมาก นิสัยดี จิตใจดี แต่โคตรกุ๊กกิ๊กเลยว่ะ คิขุทุกลมหายใจ ตอนจีบใหม่ๆ ไม่เป็นนะแต่มาตอนนี้ทำไมงุงิง้องแง้งก็ไม่รู้ กูยิ่งทนอะไรแอ๊บแบ๊วๆ ยังงี้ไม่ค่อยจะได้ด้วย มันจะไปกันรอดไหมวะเนี่ย

คุณเพิ่งสัมภาษณ์งานมา
เพื่อน: เป็นไงมั่ง งานน่าสนใจไหม?
เรา: อืมมม Yes and no... ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ตัวงานน่ะน่าสนใจ แต่ไอ้คนสัมภาษณ์กูเนี่ย
เพื่อน: เขาไม่ชอบหน้ามึงสิ กูบอกแล้วให้ยิ้มเยอะๆ เวลามึงหน้าบึ้งนะกวนตีน
เรา: ไม่ใช่ มันน่ะชอบกูมาก ถูกชะตาเหลือเกิน แต่กูว่ามันไม่ค่อยเต็มว่ะ พูดจารั่วๆ ชอบกล ท่าทางจะเป็นหัวหน้าสายงานกูซะด้วย ทำไงดีวะ งานน่ะกูอยากได้ แล้วกูก็ว่ากูได้แน่เลย แต่จะให้ทำงานกับไอ้เนี่ยอะนะ!?





Two wrongs don't make a right

Two wrongs don't make right  ::  สำนวนนี้ผมว่าเหมาะกับโลกมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจริงๆ เพราะผมว่าในขณะที่คนเราเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญาและจิตใจอันสูงส่ง ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนอีกแล้วที่จะมีนิสัยด้านมืดที่น่ากลัวเท่ามนุษย์เหมือนกัน

           เพราะก็คงมีแต่มนุษย์เท่านั้นล่ะที่สามารถจะคิดได้ว่า "ใครดีมา เราดีตอบ และใครเลวมา เราเลวตอบ" หรือคำกว่าวที่ราวกับจะเท่ อย่าง "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ"
          ไอ้ตรงที่  "ใครดีมาเราดีตอบ"  กับ  "บุญคุณต้องทดแทน"  นี่ผมว่าดีนะ จะทำให้สังคมน่าอยู่ แต่อีท่อนหลังเนี่ย จะนำพามาแต่หายนะจริงๆ นะครับ

          การที่เราโดนเขาชกแล้วไม่ชกกลับ เขาด่าเรามาเราไม่ด่ากลับ มันอาจดูเหมือนอ่อนแอและไม่เท่เอาซะเลย แต่มันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงเหรอครับ ถ้าเราสอนลูกสอนหลานเราว่า  "ใครเลวกับเรา เราต้องเลวกับมัน"  ใครโกงเรา เราต้องโกงมันกลับ ใครแกล้งเรา เราต้องแกล้งมันกลับ มันเคยแย่งแฟนเรา เราต้องแย่งแฟนมันมั่ง  จะดีเหรอครับ?


          ผมว่าไม่นะ เพราะ Two wrongs don't make a right. อะไรๆ จะมีแต่แย่ไปกันใหญ่





Put two and two together and make five

Put two and two together and make five  ::  ใครๆ ก็รู้ว่า 2+2 มันต้องเป็น 4 ผมก็เลยชอบสำนวนนี้เป็นการส่วนตัว เพราะได้ยินแล้วรู้สึกอุ่นใจว่าเราไม่ได้โง่เลขอยู่คนเดียวในโลก แต่จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะใช้ได้เฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น เพราะการเอาสองบวกสองแล้วได้ห้านั้นเขาเอาไว้เปรียบเทียบกับคนที่มีพฤติกรรม 'ฟังไม่ศัพท์จับไปกระเดียด' บวก 'กระต่ายตื่นตูม'

เพื่อนสาวคนหนึ่งปกติแต่งรัดรูปและเอวลอยตลอด แต่วันนี้เธอมาในชุดแซ็ก แปลกตาและนั่น! ยืนซื้อมะม่วงดองอยู่ที่รถขายผลไม้ ปกติชีชอบกินมันแกวนี่หว่า ชีท้องแน่ๆ

เฮ้ย คนเรานานๆ ทีก็อยากเปลี่ยนรสชาติกันมั่ง แล้วพอดีเย็นเมื่อวานใส่เอวลอยไปแอโรบิกในสวนสาธารณะ เต้นหนักไปหน่อยเลยเหนื่อยจัด ฟุบหลับน้ำลายยืดอยู่บนม้านั่งกลางสนาม โดนยุงกัดพุงเป็นผื่นเป็นปื้น แล้วไปเกาจนเป็นแผล วันนี้เลยโชว์ดือไม่ได้ต่างหาก

ปรากฏอีเพื่อนมันเอาชุดแซ็ก + มะม่วงดอง ราวกับสอง + สอง แต่ผลลัพธ์ออกมาเป็นห้า เข้าใจผิดกันไปทั้งกรุงเทพและปริมณฑล

"She put two and two together and make five, then tel everyone I'm pregnant!"


วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Make conversation

Make conversation  ::  นี่คือเวิร์บทูชวนคุยครับ แล้วก็ไม่ใช่ชวนคุยเฉยๆ แต่เป็นการชวนคนที่เราไม่รู้จักคุ้นเคยคุย 'ตามมารยาท' แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่เราต้องแสดงมารยาทโดยการชวนคนอื่นคุย? ลองนึกดูครับ ผมว่าส่วนใหญ่เคยมาแล้วทั้งนั้นล่ะ เอาง่ายๆ เลยก็เช่น ในแท็กซี่ อ้ะ ก็ชวนพี่เขาคุยเสียหน่อย วัดแววความโรคจิตนิดนึง ไม่ใช่ขึ้นรถปั๊บหลับปุ๊บ ตื่นมาอีกทีกำลังนอนเปลือยและโดนปล้น

         
          หรือเมื่อคนเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน กลายเป็นคนหัวอกเดียวกัน ก็จะเริ่มมีการ Make conversation เกิดขึ้น เช่น ลิฟต์ค้าง แล้วติดอยู่กับใครอีกคน ถ้าจะไม่ชวนคุยเลย แถมยืนนิ่งๆ ตามองตรงไปข้างหน้า อันนี้มันก็อาจออกแนวหลอนได้นะ อีกคนอาจสงสัยว่าตกลงแกเป็นผีหรือเปล่า นี่มีชั้นเห็นแกอยู่คนเดียวใช่มั๊ย

อาหมวยไปตามนัดสายหลายนาที พอถึงที่นัดหมายปรากฏว่าแฟนหนุ่มกำลังคุยจ้อฉอเลาะอยู่กับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งไอ้คุยกับผู้หญิงไม่ว่านะ แต่ที่อภัยไม่ได้คือนังนั่นมันสวยกว่าชั้น อาหมวยไม่ฟังอีร้าค้าอีรม ปราดเข้าไปตบกะโหลกหนึ่งผัวะด้วยน้ำหนักฝ่ามือราวๆ สิบเจ็ดปอนด์

แฟนหนุ่มหน้าทิ่มลงไปในถ้วยกาแฟร้อน สักพักแหงะหน้าขึ้นมาโวยวาย นี่เธอทำอะไรของเธอนี่ "I was just trying to make conversation!"  เราชวนเขาคุยตามมารยาทเฉยๆ ไม่ได้จีบซะหน่อย เราสงสาร เห็นเขาใส่เสื้อผ้าบ๊างบางแล้วก็ซ้านสั้น ก็กลัวเขาจะหนาว เลยชวนเขาคุย ก็เท่านั้นเอง

Do I make myself clear?

Do I make myself clear?  ::  หรือบางครั้งก็อาจจะใช้สั้นๆ ว่า "Is that clear?" อันนี้เป็นคำถามที่เท่มาก เพราะคนที่จะถามคำถามนี้ได้ต้องเป็นคนที่มีสถานะ ตำแหน่ง หรือศักดิ์ศรีเหนือกว่าเท่านั้น เช่น ครูถามนักเรียน พ่อแม่ถามลูก เจ้านายถามลูกน้อง แต่ถ้าพนักงานต๊อกต๋อยอย่างเราไปยืนค้ำหัว หัวหน้าแล้ว "Do I make myself clear?" นี่มีหวังโดนตบหน้าเบี้ยวแล้วหักเงินเดือน 75% ตลอดอายุการใช้งาน


มันคือ  "เข้าใจไหม"  นั่นล่ะครับ แต่โดยน้ำเสียงของมันแล้ว จะต้องแปลประมาณว่า "ที่ชั้นพูดไปน่ะ ซีมซับเข้าไปในหัวขมองมะ?" ราวๆ นั้นเลยเชียว เช่น ผลการเรียนห่วยแตกๆๆ โดนพ่อด่าๆๆ แล้วลงท้ายด้วย "ต่อไปนี้ห้ามเล่นเกมช่วงอ่านหนังสือสอบอีก ไม่งั้นพ่อจะจับกระทืบให้หมด กระทืบทั้งเกม กระทืบทั้งแก! Do I make myself clear?!?" ขอแนะนำว่าให้ตอบว่าเยส เซอร์ เท่านั้นแล้วหุบปาก อย่าหืออย่าอือ

ยอดขายห่วยแตกๆๆ เจ้านายด่าๆๆ แล้วลงท้ายด้วย "เดือนหน้าถ้ายอด ยังไม่เข้าเป้า เอ็งกระเด็นแน่ Do I make myself clear?!?" ที่พูดมาเนี่ยมีตรงไหนไม่ชัดมั่งมะ จะได้อธิบายย้ำประกอบด่าซ้ำอีกรอบแบบเอ็กซ์เท็นเด็ดเวอร์ชั่น

Make an ass of yourself

Make an ass of yourself  ::  Ass แปลว่าตูด ไม่ใช่ก้นด้วยนะครับ ต้องตูดเท่านั้น เพราะก้นมันต้อง butt หรือ buttom หรือ buttock อันจะเป็นตูดที่สุภาพกว่า คำว่า Ass นั้นเป็นอีกหนึ่งศัพท์สารพัดประโยชน์ในภาษาอังกฤษ อาจจะสามารถเอกไปแยกเขียนเป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มเต็มๆ ได้ จึงยังไม่ขอแจงละเอียดกันตอนนี้ เอาเป็นว่าแปลเฉพาะสำนวนนี้ก่อนก็แล้วกัน

Ass ในอีกความหมายหนึ่งคือลาครับ ไม่ใช่ลาบ๊ายบาย แต่เป็นลาที่เป็นญาติม้าแต่โง่กว่า เป็นลาที่มีความหมายเดียวกันกับ Donkey แล้วก็อย่างที่บอก พูดถึงลา แล้วยังไงต่อ ก็ต้องลาโง่แน่นอน ดังนั้น Ass จึงแปลว่า Fool ได้ด้วย แต่โง่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความรู้เตี้ยไอเดียต่ำ แต่หมายถึงอะไรที่งี่เง่าเต่าตุ่น ทุเรศทุรัง น่าเอือมระอาใจ

Make an ass of yourself จึงหมายถึงทำตัวงี่เง่าให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะ เป็นที่อับอายขายหน้าแก่วงศ์ตระกูลและมิตรสหาย

เฮ้ย ถามจริง เอ็งจะออกไปร้องเต้นเล่นละครในงานปาร์ตี้บริษัทจริงๆ เรอะ เอ่อ รังแต่จะเป็นที่อับอายขายหน้าแก่ตัวเองนะเพื่อนนะ "I'm telling you, you'll be making an ass of yourself." นั่งเฉยๆ เหอะ  คนบางคนระหว่างมีกับไม่มีแอลกอฮอล์ในเลือดนี่บุคลิกต่างกันเยอะราวฟ้ากับเหวเลย เวลาไปดริ๊งก์กับเพื่อนฝูงเนี่ย ผมจะจิบน้อยๆ กินกับเยอะๆ แล้วนั่งดูเพื่อนๆ ค่อยๆ แปลงร่างกัน สนุกดีครับ แล้วก็จะมีเพื่อนบางคนที่ "Always makes a complete ass of himself when he's had too much to drink." มันเมาทีไรเพื่อนฝูงได้บังเทิงทุกที เพราะมันจะตลกมาก ปัญญาอ่อนมาก และที่เยี่ยมที่สุดคือ พอสร่างแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย ดังน้้นกิจกรรมวันรุ่งขึ้นที่สนุกที่สุดอีกอย่างก็คือ เอาคลิปตอนมันเมาที่เราถ่ายไว้ไปให้มันดู แล้วนั่งดูปฏิกิริยามันอีกที

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

I will make it up to you.

I will make it up to you.  ::  ประโยคนี้เอาไว้ออดอ้อนงอนง้อใครก็ตามที่เราทำผิดกับเขา หรือทำผิดสัญญากับเขา    คืนครบรอบเป็นแฟนกัน 7 วัน อุตสาห์รับปากแล้วว่า จะรีบโดดเรียนพิเศษพาแฟนไปเดินสะพานพุธ แล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อนแว้นกวนเมืองแก๊งเดียวกันมอเตอร์ไซค์ล้มคว่ำ ต้องรีบไปให้เลือดที่โรงพยาบาล(พอดีเลือดกรุ๊ปเดียวกัน) น้องเขาเลยปากปลิ้นปากเบะ งอนซะไม่มีดี คุณเลยต้องสัญญิงสัญญาใหม่ว่าจะชดเชยให้ โดยการพาไปเดินสะพานพุทธ และนอกจากนั้น ยังจะพาไปเดินสะพานพระรามแปดและสะพานพระรามเก้าตามลำดับ อีกด้วย



ประโยคในการเกริ่นเพื่อทำสนธิสัญญางอนง้อดังกล่าวก็ได้แก่ "I'll make it up to you..." or "Let me make it up to you..."  นี่แหละครับ หมายถึง น้า น้า อย่างอนน้า แล้วเดี๋ยวเราจะชดใช้ให้น้า หายโกรธน้า ให้แก้ตัวน้า

ที่บริษัทกำลังจะมีทริปดูงานที่เปรูซึ่งคุณอยากไปเหลือเกิน แล้วเจ้านายก็เคยสัญญาว่าแล้วคุณจะได้ไปแน่นอน ขณะที่กำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าอย่างรื่นเริง นายก็โทรมาแจ้งข่าวร้ายว่าต้องเตะคุณออกจากทริป แล้วพาลูกสาวท่านประธานบริษัไปแทน ว่าแล้วก็โทษขอโพยอย่างสุดซึ้ง

"I'm sorry, but I promise I'll make it up to you somehow."  ไอ้คำว่า  'somehow' เนี่ยแปลว่า "ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง" ซึ่งอาจจะเป็น "งานหน้าเอ็งได้ไปแน่ๆ" หรือ "น่า เดี๋ยวพาไปเลี้ยงข้าว" หรือ "น่า เดี๋ยวปีนี้พิจารณาโบนัสให้งามๆ อย่าโกรธกันเลย ขัดท่านประธานไม่ได้จริงๆ"

Make of

Make of  ::  ถ้าเราถามใครสักคนว่า "What do you make of it?" นั่นหมายถึงเรากำลังถามความเห็นของคนคนนั้นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่กำลังคุยกันอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่เราคิดว่ามันแปลกๆ มันมีอะไรแหม่งๆ ชอบกลแฮะ เช่น จู่ๆ เจ้านายโคตรดุของคุณก็ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แถมบอกว่าบ่ายนี้มีประชุมสำคัญ ทุกคนต้องเข้า ย้ำว่า ทุกคนต้องเข้า เรื่องนี้มันน่าแปลกจริงๆ เลยหันไปกระซิบถามเพื่อนว่า

"What do you make of it."

ถ้าเป็นคนอื่นอารมณ์ดีนี่ก็น่าเชื่ออยู่หรอกว่าเป็นเรื่องดีๆ จิรง แต่คนอย่างเจ้านายดูร่าเริงผิดปกติแบบนี้ทำไมไม่รู้ แต่หนาวๆ อะ

Make time

Make time  ::  หลายคนแปลตรงตัวว่า 'ทำเวลา'  แต่ที่จริงแล้วมันแปลว่า 'เผื่อเวลาครับ' เคยได้ยินสำนวนไทยสมัยนี้เขาอธิบายถึงลักษณะแฟนในฝันไว้อันนึง เพราะคิดว่ามันสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่าความตาคมนมโต หรือ ความหล่อเหลาเกาหลี นั่นคือต้อง 'นิสัยดี มีเวลาให้'


นิสัยดี อันนี้ก็แล้วแต่ 'ดี' ของใครเป็นยังไง แต่ 'มีเวลาให้' เนี่ยเป็นตัวตัดสินเลยนะครับ มันเฉือนกันตรงนี้เลย เป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ของการที่คนจะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ได้ เพราะบางทีต่อให้นิสัยดี ซื่อสัตย์ประหยัด รักสิ่งแวดล้อมแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีเวลาให้ ก็จบ


In a relationship, you have to make time for each other.

เม้กไทม์จึงหมายถึง ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหน คุณก็ต้องเม้กชัวร์ว่า คุณมีเวลาให้คนสำคัญของคุณ หรือมีเวลาทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เช่น ต่อให้ยุ่งแสนยุ่ง อย่างน้อยพ่อแม่ก็ควร Make time สำหรับลูกๆ โดยการนั่งดูทีวีเป็นเพื่อนเสมอเพื่อชีแนะและตอบคำถามที่ลูกอาจสงสัย

และไม่ว่าการงานจะท่วมล้นเพียงไร คุณก็ต้อง Make time สำหรับเพื่อนที่คบไว้ หมาที่เลี้ยงไว้ ตลอดจนแฟนที่จีบมาได้อย่างยากลำบาก ได้เขามาแล้วก็ต้องดูแลนะเข้าไหม

Make the most of it

Make the most of it  ::  สุภาษิตไทยที่ว่า "น้ำขึ้นให้รีบตัก" เพราะมันแปลว่าเมื่อมีสิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้น ให้รีบฉกฉวยตักตวงเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะมันอาจไม่อยู่นานหรือยั่งยืน เหมือนน้ำขึ้นจริงๆ เพราะเดี๋ยวมันก็ลง ถ้าไม่รีบตักตอนนี้ จะให้ไปตักตอนไหน


ชีวิตฝรั่งเขาขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศมากๆ นะครับ ไม่เหมือนบ้านเราที่ร้อนยังไงก็ร้อนยังงั้นตลอดทั้งปี แต่จะว่าไป ร้อนยังไงมันก็ยังไม่ถึงกับร้อนจนคนตายกันเป็นเบือ ในขณะที่ฝรั่งเขาสามารถหนาวตายกันได้ และพออากาศเลวร้าย หิมะลงหนักๆ เข้าสักทีเมืองก็เป็นอัมพาตกันไปหมด เขาถึงให้คุณค่ากับวันที่อากาศดีๆ เหลือเกิน ดังนั้น บางทีเราจะได้ยินเขาพูดว่า  "It's a lovely day. We must make the most of it"  วันที่อากาศดีๆ ยังงี้ เราต้องใช้ชีวิตเอาต์ดอร์กันให้คุ้มไปเลย!  ไปตกปลากัน ไปปิกนิกกัน ไปวิ่งเล่นในทุ่งทิวลิปกัน ฯลฯ ต่างๆ

สำหรับผม ช่วงเวลาที่ผมอยากให้น้องๆ ที่กำอ่านอยู่นี้ตักตวงความสุขเอาไว้ให้ได้มากที่สุดก็คือวัยเรียนครับ มองย้อนกลับไปแล้ว ไม่มีวันเวลาไหนจะแสนวิเศษเท่าชีวิตในช่วงนี้อีกแล้วนะ เพราะฉะนั้น "Make sure that you make the most of it."

Make an effort

Make an effort  ::  แปลว่าพยายาม และเป็นการพยายามที่ลำบากลำบนมากกว่า Try เฉยๆ เพราะ Make an effort มันประมาณ Try hard นะครับ คือมีอารมณ์บากบั่นสูงกว่า มุ่งมั่นทำโดยมานะ พยายามทุกวิถีทาง ลองแบบนี้ไม่ได้ก็ลองอีกแบบนึง จนกว่าจะได้ผล เป็นต้น

ถ้ามีคนมาพูดกับเราว่า  "You're not making any effort" ก็เท่ากับเขากำลังบอกเราว่า "You're not trying hard enough."  เป็นประโยคดูแคลนประโยคหนึ่งทีเดียว

เราทุกคนย่อมเคยผ่านการ  Make an effort  มาแล้วในชีวิต ลองนึกดูสิครับ ไม่ว่าจะเป็นการ  Make an effort to fit in (พยายามเข้ากลุ่ม เข้าพวกกับเพื่อนฝูง พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกคนยอมรับและชื่นชม) หรือ Make an effort to look nice ซึ่งอาจจัดว่าเป็นซับเซ็ตของเมื่อกี๊อีกที นั่นคือ เมื่อเราดูดี สวย หล่อ ผอม ขาว เราก็คงจะเป็นที่ยอกรับของทุกคนละมั้ง

แต่ที่สุดแล้ว ความพยายามทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการพยายามอดข้าวอดน้ำ เพื่อลดไขมัน การเสแสร้างทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเองเลยสักนิด หรือแม้แต่ยอมลองเหล้าลองบุหรี่ ไปจนถึงลองยาเพราะคิดว่าจะทำให้เรา 'fit in' กับกลุ่มเพื่อนไหนั้น มันคุ้มค่าจริงหรือ?

Is it really worth the effort?

Make the first move

Make the first move  ::  เป็นคนแรก หรือเป็นฝ่ายแรกที่ลงมือ(ทำอะไรซักอย่าง) ก่อน เช่น พอระฆังดัง นักมวยทั้งสองฝ่ายก็เต้นเข้ามาหากัน จดๆ จ้องๆ กันอยู่นั่นแล้ว ไม่มีฝ่ายไหนลงมือก่อนซะที นี่ตกลงซื้อตั๋วเข้ามากดูนักมวยสบตากันใช่มะ ใครซักคนช่วย Make the first move ได้แล้ว!

อาจใช้ในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้เหมือนกัน เช่น ผมเป็นคนขึ้อาย แล้ก็ไม่ค่อยเซลฟ์เท่าไหร่ ชอบใครก็ไม่เคยเข้าไปจีบก่อน จะมองตา จะยิ้มให้ยังไม่กล้าเลย นั่นคือเป็นคนประเภทไม่กล้าที่จะ Make the first move กลัวแห้ว ไรงี้ ในขณะที่เพื่อนบาคนนั้นน่าอิจฉาจัง เพราะใจกล้าหน้าด้านเป็นธรรมชาตินิสัย เจอใครที่มันชอบก็เข้าไปคุยก่อน เข้าไปจีบก่อน ไม่มีรีรอ

สาวสวยขี้อายคนหนึ่งแอบรักรุ่นพี่ในที่ทำงานอย่างสุดหัวใจ แต่พี่เขาก็มีแฟนแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เขาเกิดเลิกกับแฟนขึ้นมา กลายเป็นรุ่นพี่เศร้าๆ คนหนึ่งซึ่งมีสาวแก่แม่ม่ายมารุมล้อมหวังบริโภคผู้ชายเทิร์นโสดหมาดๆ เพื่อนอดไม่ได้เลยพูดขึ้นว่า  "If you want him you have to make the first move!" สถานการณ์แบบนี้เธอต้องรุกคืบก่อนเท่านั้น ไม่งั้นเขาจะรู้เหรอว่าเธอสนใจ ขืนชักช้าโดนป้าแผนกบัญชีนั่นเอาไปกินก่อนก็ช่วยไม่ได้นะ

Make it to the top


Make it to the top
  ::  ลองนึกถึงภาพของการไต่ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดของภูเขา นั่นล่ะครับเป็นคำแปลตรงๆ ของ  Make it to the top แต่โดยนัยก็สามารถแปลได้ว่า ประสอบความสำเร็จอะไรสักอย่าง เช่น ตอนเข้าวงการมาก็เป็นเซลส์ขายประกันต๊อกต๋อย ไปขายใครก็ไม่มีคนซื้อ ยอดต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนจะโดนปลดอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็มุมานะพยายามจนวันหนึ่งได้ขึ้นไปเป็นผู้จัดการภูมิภาค มงกุฏทอง มงกุฏเพชร อะไรกันไป ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เขาจะมีวันที่ Make it to the top กับชาวบ้านเข้าได้ ประโยคที่คุณสามารถเอาไว้กล่าวในการประชุมแอมเวย์เมื่อรับมอบมงกุฏเพชร อะไรที่ว่านั้นก็อาจเป็นประมาณว่า "I can't believe I made it to the top!"

Hope for the best

Hope for the best  ::  หมายถึง หวังว่าทุกอย่างจะไปได้สวย หรือหวังว่าอะไรต่อมิอะไรจะคลี่คลายไปในทางที่ดี หรือ เรื่องร้ายอาจจะกลับกลายเป็นดีก็ได้นะ ทั้งท่แอบรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปได้ยาก

หลังจากผ่าตัด คุณหมอเดินทำหน้าเปลี้ยๆ ออกมา ญาติคนไข้ก็กรูกันเข้าไปล้อมถามเซ็งแซ่ หมอตอบว่า ตอนนี้อาการคงที่แล้วครับ แต่ยังต้องดูกันต่อไปอีกนิดหมอและทีมศัลยแพทย์นับสิบชีวิตพยายามสุดความสามารถแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่  Hope for the best นะครับ

ญาติทั้งหมดทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง นัยน์ตาเหม่อลอย บ้างก็ร้องไห้กระซิกๆ หมอส่ายหน้า มองด้วยความเห็นใจ ปาดน้ำตาออกมาคลอแล้วหันหลังเดินจากไป

Make the best of

Make the best of   ::  นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เราจะเห็นคำว่า Best ในสถานการณ์แย่ๆ
คนที่ตีโพยตีพายกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตนี่น่าเหนื่อยแทนนะครับ และผมว่าพวกนี้จะสุขภาพจิตเสียอะ เคยได้ยินเขาพูดว่า เวลาเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นกับเราให้รับรู้ และวางมันไว้ อย่าเอามันขึ้นมาอุ้มชู เช่น คนสองคน หิวเท่ากัน คนที่หนึ่งเป็นแบบนี้ โอย กูหิว นี่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ทำไมมันหิวยังงี้เฮ้ย ฟังดิ ท้องร้องจ๊อกๆ เลยอะ โอย หน้ามืด โอย มือสั่น

คนที่สองหิวเหมือนกันแหละ แต่พูดออกมาแค่ "อือ กูก็หิวว่ะ" แล้วก้มหน้า ทำงานต่อไป

คนที่หนึ่งมันจะหิวมากว่าคนที่สอง และเป็นทุกข์มากกว่าคนที่สองหลายเท่าตัวเลยนะ เพราะใจมันไม่ยอมปล่อยวางความหิวไว้ตรงนั้น แต่กลับหยิบมันมากอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่นั่นแหละ

เรื่องแย่ๆ มันพร้อมที่จะเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลาแหละครับ แต่ถ้าเราไปรู้สึก "โอ๊ย แย่จังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ" กับมัน มันก็ยิ่งแย่นะ คนที่สุขภาพจิตดีจะแค่ เออ แย่ว่ะ แล้วพยายามใช้ปัญญาทำให้สถานการณ์นั้นดีขึ้นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

เกิดความผิดพลาดในการจองห้อง เดินทางไปถึงเกาะเสม็ดแล้วปรากฏว่าไม่มีที่นอน ต้องรอถึงพรุ่งนี้ แล้วจะมานั่งหน้าหงิกอยู่ทำไม เฮ้ย ช่างมัน "Let's make the best of it."  วันนี้เรานอนในรถทัวร์มาเยอะแล้ว ไปนั่งเล่นกีตาร์ริมทะเลกันถึงเช้าไปเลยเว้ย พระจันทร์เต็มดวงสวยซะด้วย เออ!  แล้วมึงเคยเล่นน้ำทะเลกลางคืนดูรึยัง? เอาป่าว? เอาป่าว?

การพยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์แย่ๆ มักกลับกลายเป็นประสบการณ์ประทับใจไม่รู้ลืมไปตลอดชีวิตนะครับ แต่ถ้าคุณไม่ทำอะไร เอาแต่นั่งตีอกชกตัว คุณก็จะได้ความทรงจำแย่ๆ มาอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง



Do as you think best.


Do as you think best.  ::  เธอคิดว่าอะไรแบบไหนดีที่สุด ก็ทำไปเลย แล้วแต่ ฉันไม่ขอช่วยตัดสินใจด้วยล่ะ บางเรื่องมันไม่สามารถช่วยคิดและตัดสินใจได้จริงๆ นะ เช่น เรื่องงานเงี้ย เราไม่ได้ไปนั่งทำด้วยกันซะหน่อย เราจะรู้ไหมว่าควรหรือไม่ควรลาออก หรือเรื่องแฟน ก็ไม่ได้ไปเดตหมู่อยู่ด้วยกันซะหน่อย ช่วยตอบให้ไม่ได้หรอกว่าควรคบต่อหรือควรโยนมันทิ้งลงถ้งขยะได้แล้ว ก็ได้แต่ตอบว่า "Do as you think best."  คิดดูดีๆแล้วตัดสินใจเองเถอะ

เพราะความซวยคือ สมมติเราบอก เฮ้ย สู้น่า อยู่ต่อเหอะ อย่าเพิ่งเออร์ลี่รีไทร์เลย ปรากฏ สองเดือนต่อมาบริษัทมันเจ๊งครับ แล้วเป็นไง โห ชั้นไม่น่าเชื่อแกเลย ถ้าตอนนั้นยอกออกแล้วรับเงินชดเชยก็ได้มาเป็นแสนแล้ว ซวยมั๊ยครับ?

หรือ เลิกไปเลยไอ้ผู้ชายห่วยๆ พรรค์นี้ มันนอกใจเธอเป็นครั้งที่ 49 แล้วนะ ที่ผ่านมาถึงฉันไม่เคยพูดอะไรเลยก็จริง แต่บอกตามตรงว่าฉันเกลียดขี้หน้ามันยังกับอะไรดี เลิกเลย เลิกเลย!  ปรากฏว่าอีเพื่อนที่ทำท่าจะเชื่อฟังเรา สามวันต่อมากลับไปรักกันจี๋จ๋าอีกแล้ว เพื่อนกล่าวกับเราอย่างเย็นชาว่า "เราให้โอกาสพี่บีมอีกครั้งเพราะเขาสาบานว่าเขารักเราจริง ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอพยายามเสี้ยมให้เราเลิกกัน เธออิจฉาชั้นใช้มั๊ยล่ะ? แล้วเธอก็ไม่ชอบหน้าพี่บีมของชั้นด้วย เราคงจะเป็นเพื่อนกันลำบากแล้วล่ะ"  ซวยมั๊ยครับ

I'm not at my best today.

I'm not at my best today.  ::  เคยไหมครับบางวันที่รู้สึกว่ามันมึนๆ ก่งก๊ง หัวตันๆ แรมต่ำๆ ยังไงชอบกล คิดอะไรก็ไม่ค่อยออก ปล่อยมุขอะไรก็ไม่ขำ จะหยิบจะจับอะไรก็พลาดไปหมดจนเพื่อนรำคาญ มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย!  โดนไวรัสเหรอ รึแบตเสื่อม คุณสามารถตอบเพื่อนได้ว่า เออ ไม่รู้ว่ะ วันนี้มันเป็นหนึดๆ "I'm not at my best today."

ส่วนผม อาการแบบนี้จะมาเมื่อต้องจิกหัวตัวเองให้ตื่นขึ้นมาทำอะไรตอนเช้าตรู่ครับ เนื่องจากผมเป็นมนุษย์กลางคืน เครื่องจะเดินลื่น เรียบ ไม่มีกระตุกในเวลาที่ไม่มีแสงแดด ดังนั้น ผมก็อาจจะบอกว่า
"I'm not at my best in the morning."

I'll do my best.

I'll do my best.  ::  ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุด ผมจะทำให้ดีที่สุด ประโยคนี้สำหรับตัวแทนนักกีฬาไทยที่ได้ไปโอลิมปิก ให้สัมภาษณ์ออกทีวีโดยเฉพาะเลยนะครับ ซึ่งฟังดูกำลังดี ดูมั่นใจ ตั้งใจ แต่ถ่อมตัว เพราะคนไทยไม่ชอบคนไม่ถ่อมตัวครับ จะมาประกาศกร้าวทำกร่างว่า "โฮ้ย ผมชนะแน่ๆ เหน่งๆ เลยครับพี่น้อง" แบบนี้คนไทยจะซุบซิบกันแล้วสามบ้านแปดบ้าน ดูมันสิ ขี้โม้เนอะ ไม่รู้จักถ่อมตัว เราอย่าไปเชียร์มันเลยแล้วคอยดู ถ้าแพ้กลับมากูจะเหยียบให้จมดิน!

Be on your best behaviour

Be on your best behaviour  ::  ในบางสถานการณ์ที่เราต้องสร้างความประทับใจเป็นพิเศษ เราก็ต้องทำตัวน่ารักเป็นพิเศษ อยู่กับร่องกับรอยเป็นพิเศษ แม้ว่าตัวจริงในเวลาปกติจะรั่วแค่ไหน เช่นเมื่อแฟนหนุ่มต้องไปเจอหน้าพ่อแม่แฟนสาวเป็นครั้งแรก ก็ต้องเรียบร้อยผิดหูผิดตา ปกติเคยยืดยีนส์แตะ วันนี้ก็ต้องเชิ้ตสแล็กรองเท้าหนัง ปกติเคยปากมอม กวนตีนชนิดที่ถ้าเลือดยังไม่ออกตามไรฟันมันไม่หยุดเห่า วันนี้ก็ต้องสงบปากสงบคำ พฤติกรรมเหล่านี้เรียกว่า Be on best behaviour ครับ ซึ่งต้องใช้สติ สมาธิ และสมปราณชั้นสูง และมักปฏิบัติได้ในช่วงสั้นๆ เหมือนด็อกเตอร์สลัมเก๊กหล่อ หรือเท่าเวลาที่อุลตร้าแมนสามารถสู้สัตว์ประหลาดบนโลกได้

Best bet


Best bet  ::  คือตัวเลือก หรือทางเลือกที่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุด เช่น ถ้าอยากไปทำงานให้ทันแปดโมงเช้า  "You best bet is to take the BTS."
ผู้กำกับกับผู้อำนวยการสร้างกำลังนั่งคุยกันว่า จะเลือกใครมารับบทพระเอก 'ไข่เจียวหมูสับ' หนังไทยเรื่องใหม่ที่กะจะตีตลาดโลกอีกครั้งหลังจาก ต้มยำกุ้ง และช็อคโกแลต ประกาศศักดาไปแล้ว หนังจำเป็นต้องเปิดกล้องอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันออกฉายในเทศกาลเมืองคานส์ แต่ปัญหาคือ จะเลือกใครดี แน่นอนว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นจา พนม แต่ปรากฏว่าตอนนี้ก็หายตัวลึกลับอีกแล้ว จะหนีไปนั่งสมาธิอะไรบ่อยๆ เนี่ย อีกตัวเลือกนึงที่น่าจะเวิร์กก็คือ หม่ำ เท่ง และโก๊ะตี๋นะครับ ซึ่งไม่ได้หายตัวไปไหน อ้ะ หนังขายแน่ๆ และเช็คคิวแล้ว อยู่แน่ๆ เปิดกล้องทันแน่ๆ นี่แหละ Our best bet ในเวลานี้!

มันแปลว่า  The smartest choice  นั่นเอง

Best friend by default


Best friend by default  ::  อะไรก็ตามที่เราบอกว่ามันเป็นดีฟอลต์ แสดงว่ามันเป็นตัวเลือกอัตโนมัติ คือถ้าเราบอกว่า 'ยังไงก็ได้'
คุณก็จะได้อะไรที่เป็นดีฟอลต์มาทันที เช่น ถ้าเดินเข้าไปนั่งร้านข้าวมันไก่ อาหาร by default ก็คือข้ามันไก่ ต่อให้ไม่พูดอะไรเพียงยกนิ้วขึ้นมาแค่หนึ่งนิ้ว คุณก็จะได้ข้าวมันไก่มากินทันทีหนึ่งจาน อะไรแบบนี้

ทางคอมพิวเตอร์จะหมายถึงค่ามาตรฐานของแต่ละโปรแกรมครับ คือถ้าเราไม่ปรับอะไร มันก็จะเป็นยังงี้แหละ เช่น ฟอนต์ (แบบตัวหนังสือ) ที่เป็นดีฟอลต์ของโปรแกรมเวิร์ดคือ Angsana ขนาด 14 point เป็นต้น

เบสต์เฟรนด์ บาย ดีฟอลต์ ก็เลยเป็นสำนวนที่หมายถึง ด้วยความที่ไม่มีใครคบเราก็เลยมีเพื่อนอยู่คนเดียว ดังน้ัน มันจึงกลายเป็นเบสต์เฟรนด์ของไปในทันที ด้วยความที่ไม่มีผู้ท้าชิง (-  _  -')

Best friend


Best friend  ::  best  ในที่นี้ผมว่าอาจจะไม่ได้ดีด้วยคุณภาพ แต่ดีในแง่ความรู้สึกทางจิตใจมากกว่า เพราะเบสต์เฟรนด์ ไม่ได้แปลว่า 'เพื่อนที่ดีที่สุด' เท่านั้น แต่จะหมายถึงเพื่อนที่เราสนิทที่สุด ใกล้ชิดที่สุด ผูกพันที่สุด และรักที่สุด ทั้งๆ ที่เพื่อนคนที่ว่าอาจจะไม่มีอะไรดีเลย เช่น เรียนไม่ดี หน้าตาไม่ดี อารมณ์ไม่ดี ปากไม่ดี แต่ทำไมไม่รู้ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดี สบายใจ แถมมีอะไรที่ชอบเหมือนๆกันหลายอย่าง แต่ส่วนที่ไม่เหมือนกัน ก็กลับช่วยเติมเต็มให้กันและกันได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้น ยังเป็นคนที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่เวลาอยู่ด้วยกัน เพราะมันจะไม่ตัดสินเรา ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงมันก็ยังรักเรา และแม้ว่าบางครั้งจะไม่ค่อยเข้าใจเรา มันก็ยังปล่อยให้เราเป็นเรา

เพื่อนแบบนี้มีสักคนนึงก็โชคดีมากๆ แล้วชีวิตนี้

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Name-dropping

Name-dropping  ::  นี่เป็นคำกริยาน่าตบคำหนึ่งในภาษาอังกฤษครับ
Name drop  หมายถึงการพูดหรือกล่าวอ้างถึงคนมีชื่อเสียงอย่างสินทสนมเกินกว่าที่เป็นจริงๆ เพื่อที่จะได้ดูน่าทึ่งในสายตาชาวบ้าน ประมาณว่า โอ๊ะ วันนั้นนะไปเดินช้อปกับพี่แดนพี่บีม แล้วก็บังเอิญไปเจอพี่โดมกับน้องพลอยฯลฯ บลา บลา บลา น่าหมั่นไส้เป็นอย่างยิ่ง แก่พ่อแม่เดียวกันกับเขาเรอะ

พวก Name-dropper นี่อย่ามาใกล้นะครับ ตบสลบ

Big name

Big Name  ::  'ชื่อใหญ่'  ในที่นี้ก็คือ คนใหญ่คนโต คนสำคัญ คนมีชื่อเสียง


หนังเรื่องนี้ยอดจริงๆ และที่น่าแปลกใจมากก็คือ ไม่มีบิ๊กเนมเลย ไม่ใช้ดาราดังๆ สักคน แต่ใช้นักแสดงเก่งๆ หน้าใหม่ล้วนๆ

โอ้ว งานแต่งระหว่างสุดยอดพระเอกกับสุดยอดนางแบบคู่นี้นับว่าเป็นงานใหญ่ยักษ์แห่งปีจริงๆ คนดังทั่วฟ้าเมืองไทยไปกันเพียบ บิ๊กเนมเดินกันเต็มไปหมด



You name it


You name it  ::  สำนวนนี้ก็ฟังดูดีนะครับ ใครได้ยินแล้วอาจนึกว่าคุณมีพื้นเพตกฟากแถวๆ นิวยอร์กก็เป็นได้ เพราะฝรั่งเหลือเกิน ความหมายคือ 'ว่ามาเหอะ เยอะแยะ มากมายทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ' ผมแปลงงใช่ไหมครับ อ้าว เวร
แล้ว งั้นมาดูสถาการณ์จริงกันเลย 

คุณเดินเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่ง แล้วถามบาร์เทรนเดอร์ว่ามีอะไรดื่มบ้าง พี่เขาตอบว่า จะเอาอะไรล่ะ วิสกี้ วอดก้า เบียร์ ค็อกเทล ม็อกเทล "You name it, I've got it." สั่งมาเหอะ ผมมีหมดแหละ

เมื่อถูกถามว่าทำไงถึงผอมเพรียวได้ขนาดนี้ เธอก็ตอบว่า พูดถึงไอ้เรื่องสูตรอาหารลดความอ้วนน่ะ  "You name it. I've tried it."  ว่ามาสิว่ามีอะไรบ้างฉันลองมาหมดแล้วทั้งนั้นล่ะ ไม่ได้ผลหรอก มันต้องคุมอาหารคู่การออกกำลังกายเท่านั้นแหละถึงจะลดได้จริง

Name your poison.

Name your poison.  ::  สำนวนนี้ใช้ถามว่า "จะดื่มอะไร" โดยมักจะหมายถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางครั้งจะใช้ว่า "What's your poison?"  ก็ได้ ความหมายเดียวกัน เช่นบาร์เทรนเดอร์ถามเราว่า "Name your poison" ก็แปลว่า จะดื่มอะไรดีพี่ นั่นเอง

Name-calling


Name-calling  ::  สำนวนนี้หน้าตาดูไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ที่จริงอันตรายครับ เพราะ  Name  ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าชื่ออย่างที่พ่อแม่เขาตั้งให้ แต่หมายถึงฉายาหยาบคายทั้งหลายที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากได้ยินเกี่ยวกับตัวเอง เช่น ไอ้หน้าจืด ไอ้หน้าสิว ไอ้หน้าหลุม ไอ้หน้าบาน ไอ้อ้วนดำ ยัยตุ่มแตก ยัยไม้เสียบผี ฯลฯ อะไรทำนองนี้แหละที่เขาเรียกว่า Name-calling

"It's rude to call someone names."  (ต้องเติม s ท้าย name เสมอ) ประโยคนี้แปลได้ประมาณว่า การไปล้อเลียนใครด้วยฉายาแสนสันมันไม่สุภาพนะจ๊ะเด็กๆ

สำหรับเด็กๆ ที่จะไปฟ้องครูเพราะถูกเพื่อนล้อว่าเป็น  'เด็กชายขี้แตก' ก็พูดว่า "They kept calling me names." พวกเพื่อนน่ะล้อผมอยู่ได้ไม่เลิกเลยฮะคุณครู

Whatshisname

Whatshisname  ::  มี  What  นำก็จริง แต่แปลกตรงที่ไม่ได้เป็นประโยคคำถามซะหน่อย สำนวนนี้ใช้พูดถึงบุคคลที่สามที่เรารู้จักหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อ หรือพอรู้จักชื่อ แต่ไม่รู้จักนามสกุล อารมณ์เดียวกับภาษาไทยประมาณ
'ไอ้หมอนั่น'  หรือ  'ยัยคนนั้นน่ะ'

"Have you met the new guy, Sam Whatshisname?"  อันนี้ก็จะแปลว่าเฮ้ นายได้เจอไอ้เด็กใหม่รึยัง รู้สึกชื่อนายแซมรึอะไรซักอย่างนั่นน่ะ

ถ้าเป็นผู้หญิงก็  Whatshername  ครับ

On the first name basis

On the first name basis  ::  ฝรั่งเวลาเรียกกัน ถ้าไม่สนิท จะเรียก Mister หรือ Miss ตามด้วยนามสกุล เช่น Mr.Pitt แต่ถ้ารู้จักคุ้นเคยกันในระดับที่เรียกชื่อจริงกันได้ (เฮ้ย แบร้ด) นั่นล่ะครับที่เขาเรียกว่า First name basis โดยพูดว่า "He and I are on the first name basis." ถ้าเป็นคนไทยต้องพูดว่า สนิทกันจนเรียกชื่อเล่นกัน

Good name, Bad name

Good name, Bad name  ::  เพลง  You give love a bad name  ของบอนโจวี่  ทำให้รู้จักศัพท์คำนี้ ร้องตามมาได้ตั้งนานโดยไม่รู้ความหมาย แต่ที่จริงก็แปลไม่ยากครับ เพราะค่อนข้องตรงกับหน้าตาที่เห็น
กู๊ดเนมแปลว่าชื่อเสียงในทางที่ดี ซึ่งตรงข้ามกับแบ๊ดเนม ที่แปลว่าชื่อเสียนั่นเอง ดังนั้น ชื่อเพลง You give love a bad name  ก็มีความหมายว่า เธอทำให้ฉันนึกชิงชังในความรัก นึกว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีสวยงามมาโดยตลอด แต่พอโดนเธอหักอก ความรักก็กลายเป็นสิ่งเลวร้ายไปด้วยน้ำมือเธอในทันที

เมื่ออ่านข่าวเจอว่าเพื่อนโรงเรียนเดียวกันทำคลิปหลุดเพราะดันไปโชว์โป๊บนแคมฟร๊อกทั้งเครื่องแบบ คุณก็พูดอย่างไม่พอใจว่า ให้ตายเถอะ ก่อนโชว์โป๊หล่อนจะเปลี่ยนชุดซะหน่อยก็ไม่ได้ เสียชื่อโรงเรียนหมด  "She totally gave our school a bad name!"


Clear my name


Clear my name  ::  อันนี้อาจพบได้ในหนังเจ้าพ่อหรือแนวกำลังภายในทั้งหลาย ประมาณว่าพระเอกโดนใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ
นานาโดยมารร้ายที่แอบแฝงตัวอยู่ในสำนักฝ่ายคุณธรรม ในเวลาต่อมา ฆ่าอาจารย์ปู่ ชิงคัมภีร์วิชาสุดยอด และกลั่นแกล้งพระเอกจนต้องออกไปจากยุทธภพ พระเอกซมซานออกจากบูลิ้มมุ่งหน้าสู่ดินแดนมองโกล ได้ไปซี้กับท่านข่านอะไรซักคน และไปได้วิชาจากยอดฝีมือนิสัยแปลกอะไรซักคน ได้ปิ๊งกับลูกสาวของไม่ท่านข่านก็ท่านอาจารย์นี่แหละ แล้วจากนั้น เขาก็กลับมาสู่ดินแดนตงง้วนเพื่อกำจัดมารยุทธภพ และในที่สุดก็สามารถ  'Clear my name'  นั่นคือกอบกู้ชื่อเสียงของอาจารย์และตัวเองได้ในที่สุด

"I will be back! I will clear my name one day!"

Name names


Name names  ::  ฟังดูย้ำคิดย้ำทำชอบกลนะครับ เนมแรกแปลว่าตั้งชื่อ ออกชื่อ หรือ เอ่ยชื่อครับ เป็นคำกริยา ส่วนเนมที่สองก็เป็นคำนามที่แปลว่าชื่อนั่นเอง

ดังนั้นถ้าแปล  Name names  ตรงตัวก็จะแปลว่า ระบุชื่อ เอ่ยชื่อ แต่ถ้าโดยความหมายที่ใช้กันเป็นสำนวน จะหมายถึงการเปิดเผยชื่อเพื่อฟ้องหรือแฉโพย

เช่น ถูกจับไปเป็นตัวประกัน แล้วโดนขู่ให้เปิดเผยชื่อของผู้ร่วมขบวนการ "บอกมานะ ใครอยู่เบื้องหลัง? ใครจ้างแกมา  หัวหน้าแกเป็นใคร" แต่สายลับจับบ้านเล็กอย่างคุณก็ทำแมนสุดๆ จะทรมานยังไงก็ตาม
สบาย แต่ฉันไม่หักหลังเพื่อนพ้องหรอก "I will never name names!"  ฉันไม่มีวันบอกชื่อแกแน่

Wingman

 Wingman  ::  ความหมายกว้างๆ ไม่ต่างจากข้างบนเท่าไหร่ เพียงแต่เปลี่ยนสถานการณ์มาเป็นการเข้าสังคมและการจีบสาวแทน

wingman  เป็นเพื่อนคนสนิทที่คุณมักพกพาเวลาไปเที่ยว เนื่องจากสาวๆ นั้นเวลาไปเที่ยวมักไปเป็นคู่
ไม่ค่อยมีใครไปเดี่ยวๆ สมมติเราแอบปิ๊งน้องหมวยขาวตาตี๋ ฟันเหล็ก วิงแมนของเราก็จะคอยคุยกับเพื่อน
ของเธอที่เป็นสาวเข้มตาคมให้ และบางครั้งวิงแมนชั้นยอดจะยอมพลีกายเข้าไปตียัยฮิปโปปากไฝเพื่อ
ให้คุณเข้าไปจีบน้องพอลล่าได้สะดวก

เขาว่าวิงแมนที่ดีมักมีประสบการณ์และชั้นเชิงมากกว่า เพื่อที่จะคอยถ่ายทอดวิชาให้กับคุณอีกด้วยหรือ
อย่างน้อย วิงแมนที่ดีต้องฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกันกับคุณ แตะต้องไม่แย่กว่า มิฉะนั้นจะกอดคอกันแห้ว
ได้



คนที่เป็นวิงแมนของคุณจะประกบอยู่ข้างตัวไม่ห่าง และพร้อมปฏิบัติงานเสมอเมื่อคุณต้องการ แต่ในขณะดียวกันก็จะรู้ใจกันจนรู้คิวได้โดยสัญชาติญาณเมื่อคุณต้องการบินเดี่ยว

วิงแมนของคุณจะมีวิธีช่วยพูดให้คุณดูดีอยู่เสมอ เช่น เฮ้อ ไอ้หมอนี่มันนิสัยเสียครับ ปฏิเสธใครเขาไม่
เป็น ใครขอให้ช่วยอะไรก็ทำหมด หรือ ผมล่ะเบื่อมันจริงๆ คนอะไรโง่ขนาดนี้ ผู้หญิงสวยๆมาขอเบอร์
ก็ไม่ให้ ขี้อายเป็นที่หนึ่ง ผมแปลกใจนะเนี่ยที่มันกล้าเข้ามาจีบคุณ แสดงว่ามันชอบจริงนะเนี่ย(สิงที่ต้องการบอก เพื่อนผมไม่เจ้าชู้นะ)

ศัพท์  wingman  นั้นจิรงๆ มากจากเครื่องบิน การบินของเครื่องบินรบ นั้นจะไปกันเป็นฝูงที่จะมีรูปแบบ
ขบวนเรียกว่า  Formation  ทุกุฝูงต้องมีเครื่องที่เป็นจ่าฝูง เรียกว่า  Lead plane  โดยจะบินนำหน้าและอยู่ตรงกลางส่วนเครื่องบินที่บินขนานข้างและเยื้องไปข้างหลังเล็กน้อยนั้น เรียกว่า wingman นี่แหละครับซึ่งมีหน้าที่หลักในการ สนับสนุนการโจมตี และ ช่วยคุ้มกัน

Right-hand man


Right-hand man
  ::  บ่อยครั้งทีเดียวที่สำนวนภาษาอังกฤษและภาษาไทยแปลความหมายออกมาได้ตรงกันเป๊ะ จนทำให้ไม่แน่ใจว่าตกลงใครลอกใครกันแน่

คำว่า  Right-hand man นั้น ต่อให้ไม่รู้ความหมายแล้วให้เดา ก็เชื่อว่าว่าเกือบทุกคนจะเดาถูก เพราะถ้าแปลตรงตัวแบบเรียงคำก็คือคนมือขวา ซึ่งจะทำให้นึกถึงคำว่า  'สมุนมือขวา'  ทันที

นั่นแหละใช่เลย คำคำนี้หมายถึงคนใกล้ชิดที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดและเป็นคนสำคัญที่คอยช่วย
เหลือและเป็นกำลังสนับสนุนอยู่นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ของธุรกิจการงาน

ส่วน  Right-hand-man  ของหัวหน้าแก๊งยากูซ่าหรือมาเฟียจะมีหน้าที่เดินประกบลูกพี่ใหญ่ ยิงคุ้มกัน หรือบังกระสุนให้ หน้าตามักจะดีที่สุดในหมู่คนหน้าตาเลวและมักมีแผลบนใบหน้าแสดงความกรำศึก ถ้าหัวหน้าไม่พอใจใครไอ้คนนี้จะเป็นคนกระทืบให้ ลูกพี่ไม่ต้องยกตีนให้เมื่อยขาหนีบ

Man-to-man

Man-to-man  ::  นี่คือคำที่อธิบายถึงการเปิดอกพูดคุยกันอย่างจิรงใจ และตรงไปตรงมาระหว่างผู้ชายสองคน แต่ที่จิรงผมเองก็เคยได้ยินคนใช้  Man-to-man  กับผู้หญิงเหมือนกัน สรุปคือไม่ซีเรียสว่าเพศไหนคุยกับเพศไหน

ขอให้เป็นการพูดคุยกันอย่างเปิดใจ ไม่อ้อมค้อม ก็เรียกว่าแมนทูแมนได้ทั้งนั้น

ว่าแต่โลกเราก็แสนจะลำเอียงนะ ยกความดีความชอบให้กับเพศชายเสียเรื่อย  ผู้หญิงได้แต่อะไรไม่ค่อย
ดีทุกที  เช่น  'ขับรออย่างกับผู้หญิงแน่ะ'  หรือ  'throw like a girl' คือโยนบอล (เป็นสำนวนจากกีฬาเบสบอล) ปวกเปียก ป้อแป้ไม่มีเรี่ยวแรง มันน่าให้ผู้หญิงน้อยใจไหม

Front man

Front man  ::  คำนี้ถ้าแปลตรงตัวก็จะหมายถึงคนที่ยืนอยู่หน้าสุด  แต่ถ้าแปลโดยนัยจะหมายถึงคนที่เป็นหน้าเป็นตา และเป็นตัวแทนของกลุ่ม คณะ หน่วยหรือองค์กร ในการแถลงหรือบอกกล่าวเรื่องราวของกลุ่มให้ สาธารณชนได้รับรู้นั่นเอง หรือถ้าเป็นวงดนตรี  ฟรอนต์แมนก็มักเป็นนักร้องนำ หัวหน้าวง เป็นคนที่เวลา เราเห็นบนปกซีดีหรือโปสเตอร์ มักจะยืนหน้าตาดีเด้งที่สุดอยู่ตรงกลางนั่นเอง

   
ฟรอนต์แมนของโปเตโต้คือ ปั๊บ ฟรอนต์แมนของคาราบาวคือ น้าแอ็ด ส่วนฟรอนต์แมนของ
ไมโครซอฟต์ก็คือ บิล เกตส์ ในขณะที่ฟอรนต์แมนของค่ายแอปเปิ้ลก็คือ  สตีฟจ็อบส์


Best man


Best man
  ::  ผู้ชายที่ดีที่สุด หรือ คนที่ดีที่สุด เช่นเพื่อนสาวประกาศเลิกแฟนผู้แสนดี ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ

"He's the best man you can ever hook up with!" คนดีอย่างงี้  ทิ้งทำไมวะเนี่ย เสียของจริงๆ

"He's the best man for job." แปลว่า เขาเป็นคนที่เหมาะกับงานนี้ หน้าที่ หรือตำแหน่งนี้ที่สุดแล้ว ทั้งคุณสมบัติ ไอคิว อีคิว แถมประสบการณ์ตรงมากมายอีกต่างหาก

แต่ในอีกความหมายหนึ่ง  เบสต์แมน  แปลว่า เพื่อนจ้าวบ่าว ได้ด้วยครับ

Family man


Family man  ::  คำนี้ภาษาไทยก็เอามาใช้ทับศัพท์  นั่นคือเมื่อพูดถึงแฟมิลี่แมน ก็เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงชายหนุ่มที่รัก ครอบครัวเหลือเกิน  เลิกงานปุ๊บกลับบ้านปัํ๊บ ไม่มีการแวะไปอาบน้ำที่ไหน เสาร์อาทิตย์แทนที่จะไปตี กอล์ฟ กลับพาลูกเมียไปเที่ยวทะเล หรือกินอาหารอร่อยๆ ช่างเป็นคุณพ่อบ้านในฝันเสียนี่กระไร เป็นผู้ชายแบบที่ค่อนข้างหายาก ปัจจุบันรู้สึกว่าทางการจะประกาศให้เป็นคนสงวน(แบบสัตว์สงวน) ไปแล้ว ใครพบเห็นให้พามาลงทะเบียนเป็นสมบัติของชาติด่วน

He-man


He-man  ::  ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นชื่อของยอดมนุษย์สุดล่ำตัวหนึ่ง และนั่นก็ไม่ต่างจากความหมายของ 'ฮีแมน' ในที่นี้เท่าไหร่ ถ้าใครได้ชื่อว่าเป็น  He-man  ต่อให้ไม่เห็นตัวก็รู้ว่าไอ้หมอนี่จะถึกสุดๆ รูปร่างมัก
ใหญ่ยักษ์ แข็งแรงทรหด และที่สำคัญ ชอบโชว์ออฟถึงความถึกของตัวเองเสียด้วย

Old man


Old man  ::  ใช่ครับ  หน้าตาดูไร้พิษภัยแบบนี้  น่าจะแปลได้ง่ายๆ ตรงๆ ว่า  'ชายแก่'  (หรือ คนผู้ชายแก่ ก็ตามใจ)
แต่ที่จริงคำว่าโอลด์แมนยังมีความหมายซ่อนอยู่อยู่อีก เพราะคำนี้สามารถแปลได้ว่า  'พ่อ'
(เท่ากับคำว่า Dad) หรือแปลว่า  'สามี'  (ไอ้แก่ที่บ้าน) ได้อีกด้วย

"That's my old man's car"  รถนั่นของป๋าฉันเอง เท่ใช่ไหมล่ะ

"My old man is taking me on second Honeymoon."  พ่อเจ้าประคุณของฉันกำลังจะพาฉันไปฮันนีมูน
รอบสองน่ะจ๊ะ

ในความหมายของพ่อและผัวนี้ ต่อให้ไม่ได้แก่หงำเหงอะ ก็สามารถจะ Old man ได้ไม่ต้องเกี่ยงงอนนะครับ มันเป็นสำนวนของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับสังขารว่าชราจริงหรือไม่แต่อย่างใด


Ladies' man

Ladies'  man  ::  และแน่นอนว่า เมื่อมมี  A man's man แล้ว ก็ต้องมีผู้ชายอีกประเภทหนึ่งนั้นคือ  A ladies' man  ซึ่งก็คือหนุ่มๆ ที่มีความสุขกับการขลุกอยู่กับสาวๆ ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือคนรักก็ตาม เขาจะเข้าผู้หญิงได้เป็นอย่างดี  ทั้งๆ  ที่ไม่ใช่เกย์และเป็นแมนเต็มตัว แต่เขาสามารถไปเดินช้อปปิ้งกับผู้หญิงได้ นั่งคุยกับพวกเธอได้ทั้งวัน หนุ่มๆ เหล่านี้จะมีเพื่อนผู้ชายไม่มาก และมักไม่ใช่เพื่อนที่เป็น  A man's man เพราะนั่นคือผู้ชายที่  'ผู้ช้ายผู้ชาย'  เกินไปสำหรับเขา ผู้ชายสองกลุ่มนี้ถ้าว่ากันตามตรง จะไปด้วยกันไม่ค่อยได้เท่าไหร่

เคยเห็นคนแปลคำคำนี้ว่า  'เสือผู้หญิง'  ซึ่งไม่ตรงนัก และไม่ใช่เสมอไป

ส่วย  Ladyboy  นั้นหาได้ทั่วไปตามท้องถนนในเมืองไทย มันแปลว่ากะเทย

Manly

Manly  ::  คำนี้ถ้าจะแปลเป็นไทยก็น่าจะ  "แมนสุดๆ"  นั่นเอง
สมมุติไปเจอฝรั่งที่ไหนสักคนกำลังมีพฤติกรรมหรือมีมาดอะไรสักอย่างที่แสนจะสุภาพบุรุษ แสนจะเป็นลูกผู้ชาย เป็นยอดชายในฝัน ประมาณนั้น ทำให้คุณอยากจะเอ่ยชมเชยขึ้นมา ดังนั้นแล้วจึงพูดออกไปว่า  "โอว  ยู  อาร์  โซ  แมน!"  ยังงี้นี่ฝรั่งอาจเหวอได้

คำที่คุณต้องการคือ  'manly'  ครับ อ่านว่า แมน-ลี่ นี่แหละ หน้าตาเหมือน adverb เปี๊ยบเลยที่เดียวใช่ไหม ครูสอนไว้ว่ามีไอ้ลี่ๆ ลงท้ายเขาเอาไว้ขยายคำกริยา แต่ไม่เสมอไปครับ มีแอดเจ็กทีฟหลายคำที่หน้าตาคล้ายแอดเวิร์บอย่างนี้ รวมถึง manly นี่ด้วย

เสียงเขาทั้้งนุ่มและทุ้ม  สุดแสนจะแมนลี่  แต่่ทำไมมือไม้ถึงได้กรีดกรายสาวแตกขนาดนั้นล่ะ
นี่! หยุดคร่ำครวญงอแงเสียที ไม่แมนลี่เอาซะเลย แบบนี้สาวๆ เขาไม่ชายตามองหรอกนะ
เจ้าเด็กเมื่อวานซืนหน้าใสตัวแห้งๆ นายหนึ่งบ่นพึมพำออกมาว่า เฮ้อผมล่ะอยากมีขนหน้าอกปุกปุยกับเขาบ้างจัง จะได้ดูแมนลี่ขึ้นกว่านี้หน่อย

จะชมใครว่า "แม้นแมน"  ครั้งหน้า อย่าลืมเติม 'ลี่' เข้าไปด้วยนะครับ

Man's man

Man's man  ::  'ผู้ชายของผู้ชาย'  ฟังดูเหมือนแอบมีสัมพันธ์สวาทกันอยู่ยังไงไม่รู้สินะ  ไม่ใช่ๆไม่ได้แปลว่าอย่างนั้นสักนิด  ที่จริงแล้วคำคำนี้มีความเป็นลูกผู้ชายมากเลย นั้นหมายถึง ผู้ชายที่ชอบทำกิจกรรมที่จัดว่าผู้ช้ายผู้ชาย  เช่น  ยิกนกตกปลา ตีกอล์ฟ แข่งรถ ดูมวย ดื่มเบียร์เชียร์บอล เป็นต้น สิ่งที่  A man's man เหล่านี้จะไม่มีวันทำคือช้อปปิ้ง  เข้าสปา  จัดดอกไม้  เต้นแอโรบิก  หรือกิจกรรมอะไรที่จัดว่าเป็นของสาวๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง

A  man's  man  จะคบหาขลุกอยู่แต่กับเพื่อนผู้ชายคอเดียวกัน และมักเป็นที่ยอมรับและนับถือของเพื่อนฝูง โอกาสเดียวที่เขายินดีจะไปขลุกกับผู้หญิงคือ เมื่อเขาเข้าไปจีบเธอเท่านั้น